คำศัพท์พื้นฐานใน Forex ที่นักเก็งกำไรทุกคนต้องรู้
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Forex ที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่การทำความเข้าใจกับคำจำกัดความ และข้อดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีเรื่องของทฤษฎี และคำศัพท์เฉพาะอีกมากมายที่จะต้องรู้และศึกษาไว้ ก่อนที่จะทำการเปิดบัญชีเพื่อการซื้อขายแบบจริงจัง ซึ่งในส่วนนี้เราจึงได้ไปรวบรวมคำศัพท์ที่จะต้องพบเห็นในการลงทุน Forex อย่างแน่นอนมาให้ทำความเข้าใจกัน การเรียนรู้คำศัพท์เหล่านี้ไว้ จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้คุณเข้าใจการซื้อขายมากขึ้น และเลือกใช้ตัวเลือกเหล่านี้ได้ถูกต้องตามสถานการณ์ต่อไป
ใน Forex นั้นเราจะได้ยินคำศัพท์ ที่ผมจะอธิบายต่อไปนี้บ่อยครั้ง การอธิบายนี้เป็นการอธิบายอย่างย่อเพื่อให้ได้เข้าใจว่าแต่ละคำคืออะไร และมีความหมายว่าอย่างไร
- Accrual = การจัดสรรค่าพรีเมี่ยมและค่าส่วนลดสำหรับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับค่า swap (การ Arbitrage ของดอกเบี้ย) ในระยะเวลาของธุรกรรมนั้นๆ
- Adjustment = การดำเนินการอย่างเป็นทางการโดยวิธีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินเพื่อลดความไม่สมดุลในการใช้ จ่ายหรือวิธีการลดค่าเงิน
- Appreciation = การแข็งค่าของสกุลเงินนั้นๆเมื่อมีอุปสงค์มากขึ้น
- Arbitrage = การซื้อและขายในตลาดที่มีความสัมพันธ์กันเป็นจำนวนที่เท่ากันพร้อมๆกันเพื่อได้รับส่วนต่างระหว่างราคาในแต่ละตลาด
- Ask (Offer) Price = Ask Price เป็นราคาที่ตลาด Forex จะเป็นผู้เสนอขายให้กับเรา ซึ่งในส่วนนี้จะมี Spreads และ Bid Price เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เล็กน้อย อธิบายให้เข้าใจกันก่อนว่า Ask Price เป็นราคาที่ตลาดเสนอให้เราซื้อเพื่อเก็บไว้ในพอร์ตลงทุน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุนในคู่เงิน USD/JPY ที่ราคาเสนอขาย 103.45879 ก็อาจจะมี Bid Price อยู่ที่ 103.45877 ซึ่งก็เท่ากับมีระยะห่างอยู่ที่ 2 Pips หรือมี Spreads 2 Pips และตัว Spreads นี่เองที่จะบอกได้ว่าคุณจะได้กำไรจากการซื้อขายในครั้งนี้หรือไม่ ?
- At Best = เป็นคำแนะนำจาก Dealer ในการซื้อหรือขายในเรทที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำได้
- At or Better = เป็นการสั่งให้ซื้อหรือขายในราคาที่ต้องการหรือราคาที่ดีกว่านี้
- Balance of Trade = จำนวนส่งออกลบด้วยจำนวนนำเข้าของประเทศนั้นๆ
- Bar Chart = ประเภทของกราฟซึ่งแสดง 4 ส่วนหลักคือ ราคาต่ำสุดและราคาสูงสุด แสดงด้วยเส้นแนวตั้ง และราคาเปิด และราคาปิดแสดงด้วยเส้นแนวนอนเส้นเล็กๆด้านซ้ายและขวา
- Bear Market = เป็นช่วงตลาดขาลง มีการอ่อนค่าของราคา
- Bid Price = Bid Price เป็นราคาที่ตลาด Forex จะเป็นผู้เสนอซื้อให้กับเรา คำว่า Bid นั้นมักจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ หากเคยเล่นเกมที่เกี่ยวข้องกับการประมูลมาก่อน ซึ่ง Bid ในที่นี้ก็มีความหมายเช่นเดียวกัน เมื่อเราถือคู่เงินไว้ เช่น USD/JPY เมื่อเราต้องการจะขายเพื่อทำกำไร เราก็จะต้องพิจารณาจาก Bid Price ที่เข้ามาว่า อยู่ในราคาที่คุณได้กำไรหรือไม่ ถ้าหากไม่ได้ก็ไม่ต้องขาย ซึ่งคุณก็อาจจะรอราคาเสนอซื้อใหม่ในภายหลังที่อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
- Bid/Ask Spread = ส่วนต่างระหว่างราคา bid และราคา ask
- Big Figure = ทศนิยม 2 หรือ 3 หลักแรกของราคา ตัวอย่างเช่น ถ้าราคา bid/ask ของคู่ USD/JPY bid/ask เป็น 115.27/32 ดังนั้น big figure คือ 115 ถ้าราคาของคู่ EUR/USD เป็น 1.2855/58 big figure คือ 1.28 ซึ่งbig figure ส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกแสดงในราคาที่ dealer เสนอมา เช่น ถ้าราคาของคู่ EUR/USD เป็น 1.2855/58 ทาง dealer จะเขียนสั้นๆว่า “55/58”
- Book = เป็นประวัติสรุปออเดอร์ที่เคยทำรายการมากทั้งหมด
- Broker = เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เสมือนคนกลางระหว่างคนซื้อและคนขายเพื่อเก็บค่าธรรมเนียม
- Bull Market = เป็นช่วงตลาดขาขึ้น มีการแข็งค่าของราคาA market distinguished by rising prices.
- Bundesbank = ธนาคารกลางของประเทศเยอรมัน
- Cable = เป็นชื่อเรียกของคู่สกุลเงิน GBP/USD ซึ่งเริ่มจากเมื่อช่วงกลางทศวรรษที่ 1800 มีการส่งราคาผ่านทาง cable
- Candlestick Chart = เป็นประเภทของกราฟที่แสดงราคาเปิด ปิด และสูงสุด ต่ำสุดของช่วงเวลานั้นๆ ถ้าราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดช่องสี่เหลี่ยมระหว่างราคาเปิดและราคาปิดจะมีการแรเงาไว้ ถ้าราคาปิดสูงกว่าก็จะไม่มีการแรเงา
- Cash Market = เป็นตลาดซื้อขาย future หรือ options
- Central Bank = เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ควบคุมนโยบายทางการเงินของประเทศ ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางของ ประเทศอเมริกาคือ Federal Reserve และธนาคารกลางของประเทศเยอรมันคือ Bundesbank
- Chartist = เป็นนักลงทุนที่วิเคราะห์แนวโน้มราคาจากกราฟเป็นหลัก หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่านักลงทุนทางเทคนิค
- Cleared Funds = เงินที่สามารถใช้ในการเปิดการซื้อขายได้
- Clearing = กระบวนการในการดำเนินการซื้อขาย
- Closed Position = คือรายการซื้อขายที่ปิดไปแล้ว ซึ่งในการปิดการซื้อขาย นักลงทุนก็จะต้องทำการซื้อหรือขายตรงข้ามกับรายการที่ได้ทำไว้แล้ว
- Collateral = หลักทรัพย์ประกัน
- Commission = ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากโบรกเกอร์
- Confirmation = เอกสารที่ยืนยันเงื่อนไขข้อตกลงในการซื้อขาย
- Contagion = แนวโน้มของวิกฤตเศรษฐกิจที่จะแพร่กระจายไปยังตลาดอื่นๆ ซึ่งในปี 1997 ความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศอินโดนีเซียทำให้เกิดความไม่แน่นอนในสกุลเงิน Rupiah ซึ่งมีผลกระทบต่อไปยังหลายประเทศในทวีปเอเชีย และต่อมาที่ทวีละตินอเมริกา ซึ่งเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘Asian Contagion’
- Contract = หน่วยมาตรฐานของการซื้อขาย
- Counter Currency = สกุลเงินที่เขียนเป็นลำดับที่สองในคู่สกุลเงิน
- Counterparty = หนึ่งในผู้ที่มีส่วนร่วมในการซื้อขายรายการทางการเงิน
- Country Risk = ความเสี่ยงในการทำธุรกรรมข้ามประเทศซึ่งจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายหรือเงื่อนไขทางการเมือง
- Cross Currency Pairs = คู่สกุลเงินที่ไม่มี US dollar เช่น EUR/JPY หรือ GBP/CHF.
- Currency = เงินที่ออกโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลางซึ่งใช้ในการซื้อขาย
- Currency Pair = คู่สกุลเงินที่ประกอบไปด้วย 2 สกุลเงิน ตัวอย่างเช่น EUR/USD
- Currency Risk = ความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงเรทของค่าเงินอย่างผันผวน
- Day Trader = นักลงทุนที่ทำการเปิดและปิดการซื้อขายภายในวันเดียว
- Dealer = เป็นบุคคลหรือบริษัทที่ทำการเปิดการซื้อขายกับอีกตลาดหนึ่งเพื่อที่จะได้รับกำไรจากค่า spread
- Deficit = การขาดทุน
- Delivery = การทำการซื้อขายโดยได้รับสินค้ามาจริงๆ
- Depreciation = การลดค่าของสกุลเงิน
- Derivative = สัญญาซื้อขายจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ ฟิวเจอร์ หรือสินค้าอื่นๆ ซึ่งออฟชั่นก็เป็น derivative ที่นิยมซื้อขายกันมากที่สุด
- Devaluation = การลดค่าเงินซึ่งประกาศโดยรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่
- EURO (ECU) = สกุลเงินยูโร European Monetary Union (EMU) ซึ่งมาแทนที่ European Currency Unit
- Economic Indicator = สถิติที่ประกาศจากรัฐบาลเกี่ยวกับการเติบโตและความมีเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจ โดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยอัตราการจ้างงาน, Gross Domestic Product (GDP), เงินเฟ้อ, ยอดค้าปลีก และอื่นๆ
- End Of Day Order (EOD) = รายการซื้อหรือขายตามราคาที่กำหนดไว้ รายการซื้อขายนี้จะเปิดไว้จนกระทั่งสิ้นสุดวันนั้นๆ โดยทั่วไปจะเป็นเวลา 5PM ET
- European Central Bank (ECB) = ธนาคารกลางของสหภาพยุโรป
- European Monetary Union = จุดประสงค์ของ EMU คือการก่อตั้งสกุลเงินยูโรเพื่อใช้แทนสกุลเงินของประเทศต่างๆใน ทวีปยุโรปในปี 2002 ในวันที่ 1 มกราคา 1999 ได้เริ่มมีการทดลองใช้เงินสกุลยูโรเป็นเวลา 3 ปี และในวันที่ 1 กรกฏาคม 2002 ก็ได้มีการใช้อย่างเต็มรูปแบบ สมาชิกของ EMU ประกอบไปด้วย เยอรมัน, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, ลักเซมเบอร์ก, ออสเตรีย, ฟินแลนด์, ไอร์แลนด์, เนเธอแลนด์, อิตาลี, สเปนและโปรตุเกส (EMU)
- Forex, FX (Foreign Exchange Market) = การซื้อขายสกุลเงิน โดยการซื้อหนึ่งสกุลเงินและขายอีกสกุลเงินหนึ่งเป็นคู่
- Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) = หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการคุ้มครองการฝากเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา
- Federal Reserve = ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Fed)
- First In First Out = กฎที่รายการซื้อขายที่เปิดก่อนจะถูกปิดก่อนในกรณีที่มาร์จินไม่พอ (FIFO)
- Flat/square = เป็นรายการซื้อขายที่หักล้างกัน เช่น ท่านทำรายการซื้อ $500,000 และอีกรายการนึงขาย $500,000
- Forward = สัญญาการซื้อขายล่วงหน้าในราคาและวันเวลาที่ได้ตกลงไว้
- Forward Points = จำนวน pip ที่เพิ่มหรือหักออกจากราคาปัจจุบันเพื่อที่จะคำนวณราคาล่วงหน้า
- Fundamental Analysis = การวิเคราะห์แนวโน้มราคาล่วงหน้าโดยการศึกษาสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองเป็นหลัก
- Futures Contract = สัญญาแลกเปลี่ยนในการซื้อขายที่ราคาและวันเวลาที่ได้กำหนดไว้ ข้อแตกต่างระหว่าง Future และ Forward คือ Future โดยปกติจะเป็น Exchange=Traded Contacts (ETC) ส่วน Forward นั้นจะเป็น Over The Counter (OTC)
- G7 = ประเทศผู้นำในด้านอุตสาหกรรม ประกอบไปด้วย สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อังกฤษ แคนาดา อิตาลี
- Going Long = การซื้อสินค้า เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน
- Going Short = การขายสินค้าโดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าเอง
- Good Til Cancelled Order (GTC) = การซื้อขายสินค้าในราคาที่กำหนดไว้ รายการจะยกเลิกเมื่อมีคำสั่งจากลูกค้าเท่านั้น
- Gross Domestic Product = ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
- Gross National Product = ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ คือ Gross domestic product บวกด้วยรายได้จากการลงทุนหรือการ ทำงานต่างประเทศ
- Hedge = การเปิดรายการซื้อขายตรงข้ามกับรายการที่มีอยู่เพื่อลดความเสี่ยงลง
- Hit the bid = การยอมรับการขายที่ราคา bid
- Inflation = สภาพเศรษฐกิจที่ราคาของสินค้าได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อำนาจการซื้อของประชาชนลดลง
- Initial Margin = เงินประกันเริ่มต้นที่ต้องใช้ในการเปิดการซื้อขาย
- Interbank Rates = อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินระหว่างธนาคารต่างประเทศ
- Intervention = การแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลางเพื่อควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน
- Kiwi = คำแสดงของสกุลเงินดอลลาร์ประเทศนิวซีแลนด์
- LIBOR = ย่อมาจาก London Inter=Bank Offered Rate ซึ่งธนาคารต่างๆจะใช้เรท LIBOR เมื่อทำการยืมเงินจากธนาคารอื่น
- Leading Indicators = ค่าสถิติที่ใช้คาดการณ์สภาวะทางเศรษฐกิจล่วงหน้า
- Leverage = คืออัตราทด หรือสิ่งที่ทำให้เราวางเงินจำนวนน้อย ๆ ในการลงทุนคู่เงินที่มีมูลค่าสูง ๆ จากตัวอย่างที่ได้ยกไปข้างต้น เท่ากับเรามี Leverage 50 เท่า เพราะมีเงินแค่ 400 USD ก็เหมือนลงทุนไป 20,000 USD แล้ว ถ้าหากจะให้เปรียบเทียบในส่วนนี้ก็เหมือนมีผู้ลงทุนเพิ่มให้นั่นเอง แต่ทั้งนี้ การลงทุนกับ Leverage/Margin นั้นมีความเสี่ยงสูงระดับหนึ่ง เพราะถ้าหากลงทุนไปแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ศึกษาให้ดีพอ ก็มีโอกาสที่จะทำให้เราขาดทุนได้อย่างหนัก เพราะถึงแม้จะลงทุนตัวเองน้อย แต่ความเสี่ยงที่ลงทุนก็คือจำนวนเต็ม ถ้าหากยังไม่เก่งพอ ไม่แนะนำให้มาลงทุนในส่วนนี้โดยเด็ดขาด
- Limit order = เป็นรายการซื้อขายที่ตั้งราคาไว้ล่วงหน้าว่าจะทำการซื้อขายที่ราคาเท่าไหร่ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในตลาดที่มีราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
- Liquidation = การปิดรายการซื้อขายที่มีอยู่โดยใช้วิธี offsetting transaction
- Liquidity = ความสามารถในการรับการซื้อขายปริมาณมากๆโดยที่มีผลกระทบต่อราคาน้อยที่สุด
- Long position = รายการซื้อ รายการนี้จะได้กำไรเมื่อสินค้าที่เราทำรายการมีราคาสูงขึ้น
- Lot = หน่วยของสัญญาที่ใช้ในการเทรด
- Margin = หมายถึงอัตราการวางเงินที่น้อยกว่ามูลค่าจริงตามที่กำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น Margin 2% หมายถึงการที่คุณสามารถเทรดคู่เงินที่มีมูลค่า 20,000 USD ได้ด้วยการวางเงินเพียง 2% คือ 400 USD
- Margin Call = การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์หรือดีลเลอร์เพื่อแจ้งว่ามาร์จินเหลือน้อยแล้ว
- Mark-to-Market = การคำนวณกำไรขาดทุนของรายการซื้อขายโดยให้สะท้อนกับราคาตลาดในปัจจุบัน
- Market Maker = ดีลเลอร์ที่ส่งราคา bid และ ask และพร้อมที่จะทำรายการซื้อขายในสินค้าต่างๆ
- Market Risk = ความเสี่ยงจากการขึ้นลงของตลาด
- Maturity = วันที่หมดสัญญาการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน
-
MetaTrader 4 (MT4) = MT4 เป็นโปรแกรมใช้สำหรับการเทรดซึ่งโบรกเกอร์โดยส่วนใหญ่ก็จะรองรับ MT4 แต่ในปัจจุบันก็มี MT5 แล้ว
- Net Position = จำนวนรายการซื้อขายทั้งหมดโดยไม่มีการหักล้างรายการที่เปิดตรงข้ามกัน
- Offer (ask) = ราคาที่ดีลเลอร์ต้องการขาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่คำศัพท์ Ask (offer) price
- Offsetting transaction = การซื้อขายที่เปิดตรงกันข้ามกับรายการที่มีอยู่เพื่อลดความเสี่ยง
- One Cancels the Other Order (OCO) = เป็นการประมวลผลของ 2 ออเดอร์ ถ้าออเดอร์ใดออเดอร์หนึ่งได้เปิดการซื้อขายแล้ว อีกออเดอร์หนึ่งจะถูกยกเลิกอัตโนมัติ
- Open order = ออเดอร์ที่ได้รับการประมวลผลเมื่อราคาได้มาถึงราคาที่มีการตั้งซื้อขายไว้ ซึ่งปกติก็จะเชื่อมโยงกับ Good ’til Cancelled Orders.
- Open position = เป็นรายการซื้อขายที่กำลังอยู่ในตลาด ยังไม่มีการคิดกำไรขาดทุนจนกว่าจะปิดรายการ
- Order = การสั่งการซื้อขายตามที่ได้ตั้งราคาไว้
- Over the Counter (OTC) = เป็นการอธิบายถึงรายการซื้อขายที่เกิดขึ้นนอกตลาด
- Overnight Position = การซื้อขายที่เปิดข้ามวัน
- Pips = หน่วยทีเล็กที่สุดของราคาของคู่สกุลเงิน ตัวอย่างเช่น คู่สกุลเงิน EURUSD 1 pip จะเท่ากับ 0.0001 ซึ่งอาจจะเรียกว่า Point ก็ได้
- Political Risk = การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่จะมีผลอย่างมากต่อรายการซื้อขายของนักลงทุน
- Position = รายการซื้อขายสุทธิของสกุลเงินนั้นๆ
- Premium = จำนวนที่ราคาของ forward หรือ future เกินไปจากราคา spot
- Price Transparency = การแสดงราคาให้กับนักลงทุนทุกคนเพื่อความเท่าเทียมกันในการซื้อขาย
- Profit /Loss or “P/L” or Gain/Loss = ยอดกำไรหรือขาดทุนจากรายการซื้อขายทั้งหมด (รายการที่ได้ทำการปิดเรียบร้อยแล้วบวกหรือลบด้วยยอดกำไรขาดทุนของรายการที่ยังเปิดค้างอยู่)
- Quote = ราคาตลาดที่แสดงเพื่อทำการซื้อขาย
- Rally = การเพิ่มขึ้นของราคาหลังจากราคาได้ตกลงมาเป็นเวลาช่วงหนึ่ง
- Range = ส่วนต่างระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งๆ
- Rate = อัตราส่วนของราคาในสกุลเงินหนึ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหนึ่ง
- Resistance = เป็นคำที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์ว่าคนส่วนใหญ่จะทำการขายที่ราคานี้
- Revaluation = การเพิ่มขึ้นของค่าเงินอันเนื่องมาจากการแทรกแซงของธนาคารกลาง ตรงข้ามกับ Devaluation.
- Risk = ความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ไม่แน่นอน
- Risk Management = การวิเคราะห์และใช้เทคนิคการเทรดในการลดความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น
- Roll-Over = กระบวนการในการซื้อขายที่มีการทิ้งไว้ข้ามวัน ซึ่งกระบวนการนี้ก็จะมีค่าใช้จ่าย(หรือรายได้)จากส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่าง 2 สกุลเงิน
- Round trip = การซื้อและขายในสกุลเงินหนึ่งๆ
- Settlement = กระบวนการที่รายการซื้อขายได้ถูกบันทึกไว้ ซึ่งการซื้อขายนี้อาจจะไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนสินค้ากันจริงๆก็ได้
- Short Position = เป็นรายการซื้อขายที่จะได้กำไรเมื่อราคาของสินค้านั้นๆตกลงมา
- Spot Price = ราคาตลาดปัจจุบัน
- Spread = ส่วนต่างของราคา bid และ offer
- Square = การที่มีรายการซื้อและรายการขายที่หักล้างกันทั้งหมด
- Sterling = คำสแลงของสกุลเงินปอนด์
- Stop Loss Order = เป็นออเดอร์ที่มีการตั้งจุดขาดทุนไว้เพื่อที่จะจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคาไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนวิเคราะห์ไว้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเปิดออเดอร์ซื้อที่ราคา 156.27 นักลงทุนก็อาจจะตั้ง stop loss ไว้ที่ 155.49 เมื่อราคาตลาดมาถึงราคานี้ออเดอร์ก็จะปิดให้อัตโนมัติ
- Support Levels = เป็นแนวรับที่ตรงข้ามกับแนวต้าน (Resistance) แนวรับนี้จะเป็นแนวที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะทำการซื้อ
- Swap = ดอกเบี้ย swap เป็นดอกเบี้ยที่เราจะได้หรือเสียไปเมื่อเราทำการเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน
- Swissy = เป็นคำศัพท์สแลงจากสกุลเงินฟรังก์ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์
-
Take Profit (TP) = คือ จุดราคาเราตั้งไว้ว่าจะรอให้กราฟลงหรือขึ้นมาปิดเพื่อทำกำไรให้ออร์เดอร์นั้น ๆ โดยเราสามารถตั้งเองได้ว่าจะเอา เท่าไหร่ตามจำนวน pips ที่เราต้องการ เช่น 20 pips , 50 pips เป็นต้น
- Technical Analysis = การวิเคราะห์แนวโน้มโดยใช้ข้อมูลตลาดย้อนหลัง เช่น ราคา, ปริมาณซื้อขาย, ดอกเบี้ย และอื่นๆ
- Tick = การเปลี่ยนแปลงของราคาขึ้นลงในแต่ละครั้ง
- Tomorrow Next (Tom/Next) = การปิดการซื้อขายสกุลเงินในวันปัจจุบันและกลับมาเปิดรายการอีกในวันถัดไป เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับเงินจริงๆจากการซื้อขายนี้
- Transaction Cost = ต้นทุนในการทำรายการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน
- Transaction Date = วันที่ทำรายการซื้อขาย
- Turnover = จำนวนเงินทั้งหมดที่ทำรายการซื้อขายไปในช่วงเวลาหนึ่งๆ
- Two-Way Price = การแสดงราคา bid และ offer
- US Prime Rate = อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารของสหรัฐอเมริกาให้ลูกค้าองค์กรกู้ยืม
- Unrealized Gain/Loss = ยอดกำไรขาดทุนสำหรับรายการซื้อขายที่ยังไม่ได้ปิดในขณะนั้น ถ้ารายการซื้อขายนั้นปิดแล้วก็จะเป็นกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง
- Uptick = ราคาตลาดใหม่ที่แสดงขึ้นมาสูงกว่าราคาก่อนหน้านี้
- Uptick Rule = ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีเงื่อนไขว่าจะไม่สามารถเปิดรายการขายได้ถ้ารายการซื้อขายล่าสุดมีราคาไม่ต่ำกว่าราคาที่นักลงทุนกำลังจะขายต่อไป
- Value Date = วันที่ตกลงทำสัญญาซื้อขาย ตัวอย่างเช่น ในตลาด spot value date คืออีก 2 วันถัดไป หรืออาจจะเรียกว่า maturity date ก็ได้
- Variation Margin = เงินประกันที่ทางโบรกเกอร์ให้สำรองไว้เมื่อทำการซื้อขาย
- Volatility (Vol) = การวัดสถิติความเคลื่อนไหวของราคาในเวลาหนึ่งๆ
- Whipsaw = เป็นรูปแบบราคาที่ขึ้นไปอย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นก็ตกลงมาเร็วเช่นกัน
- Yard = คำสแลงของพันล้าน
คำศัพท์ Forex เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะได้เห็นบ่อยๆ เมื่อทราบคำศัพท์พวกนี้แล้วจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นนะครับ และนำไปใช้ สนทนากับคนในวงการนี้ได้เลย แต่ขอให้นึกอยู่เสมอว่าวงการนี้ไม่ง่ายนะครับ ไม่ทางลัดใดๆ จนกว่า ประสบการณ์ของคุณเอง
และนี่ก็คือคำศัพท์เกี่ยวกับการเทรด Forex ที่ควรทำความเข้าใจก่อนเริ่มลงทุนจริงนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีคำศัพท์และอื่นๆ ที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย ซึ่งก็ต้องศึกษากันต่อไป
เรียบเรียงโดยทีมงาน icafeforex.com
ขอสงวนสิทธิหากนำบทความไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ของท่าน กรุณาลิ้งค์กลับมายังหน้าต้นฉบับด้วยครับ…
เปิดบัญชีกับเรา
#xm – xmsignal.com
#FxPremax – http://bit.ly/2HDjGnU
#FxPrimus – http://bit.ly/2r5ffLK ประเภทบัญชี standard/ecn swap ฟรี : leverage 1:500
#FxPrimus – https://goo.gl/CzGEBe microswap ฟรี: leverage1:500
#VantageFx – http://bit.ly/2KgQ3dP ทองสเปรตต่ำ (swap free)
#HotForex – http://bit.ly/2Hwu0Ce